หลวงพ่อประยูร ศิริลักษณ์ (เทียนชัยสี)
หลวงพ่อประยูร เทียนชัยสี (จุก)

แค่นั้นยังไม่พอ หลวงพ่อก็ยังพูดต่อไปอีก พูดกับแป๊ะฮ้อเสียง คนถือแซ่ให้เจ้าจีน (ที่เรียกว่าอาก๋ง) เพราะว่าแป๊ะคนนี้แกมีหนวดมีเครายาว หลวงพ่อพูดทุกครั้งที่แกได้มาถือแซ่ให้เจ้าทุกครั้ง พูดว่า (อีกหน่อยท่านจะเอาผมไว้อย่างหนวดฮ้อเสียง จำท่านไว้ให้ดีนะ ท่านไม่ไปหรอก) อีกไม่ช้าไม่นาน ก็มีคนปากน้ำโพธิ์ ชื่อคุณยายขำ เป็นแม่ยายของคุณสนิท เอาซุงมาถวายหล่องพ่อโอภาสี 2 ต้น ลูกศิษย์ก็หาช่างมาแกะสลักถวายหลวงพ่อ ซุงต้นแรกแกะเป็นมังกรพันหลัก เรียกว่า (หลักธรรม) ขอทุกท่านใคร่พิจารณาดูสิว่า พระยืนที่หลวงพ่อได้สร้างไว้นั้น เหมือนกับท่านพ่อจุกไหม
คำว่าถั่วดำต้มน้ำตาลนี้คือ ไฝที่อยู่ที่แก้มพระยืนด้านขวา ก็เช่นเดียวท่านพ่อจุกก็เหมือนกัน มีไฝแก้มด้านขวาเหมือนกัน แม้กระทั่งผมก็เหมือนกัน องค์หลวงพ่อเองก็เป็นปานอยู่ที่แก้มด้านขวา แต่หลวงพ่อพูดว่า ถั่วดำต้มน้ำตาลตลอดมา
ผมขอเล่าต่อถึงเรื่องในอดีต ของท่านพ่อจุกพอเป็นแนวทางว่า มีความเป็นมาอย่างไร ก็มีลูกศิษย์รับใช้ของหลวงพ่อคนหนึ่ง ชื่อประยูร ศิริลักษณ์ คิดจะบวชเป็นพระสงฆ์ขึ้นมา ก็บอกลากับหลวงพ่อแล้วขอวันบวชคือฤกษ์บวชกับหลวงพ่อ พอถึงวันบวชตัวประยูรก็ไปซื้อหัวลิงหรือเรียกว่าหัวหนุมานมาหนึ่งหัว พอตอนเช้าวันบวชนั้นก็เข้ามาโกนผมในสถานที่หลวงพ่อ คนโกนผมให้ประยูร คือนายแสวง มานะสกุล เพื่อนลูกศิษย์มาด้วยกัน พอโกนผมเสร็จก็เอาหัวลิงมา แล้วก็เอาผมที่โกนใส่หัวลิงหรือหัวหนุมาน จึงนำเข้าไปถวายหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเห็นเข้าเท่านั้นแหละ หลวงพ่อจึงเปล่งเสียงออกมาต่อหน้าลูกศิษย์ และตัวนายประยูรที่นั่งคุกเข่าถวายอยู่ว่า (ไอ้ยูรมึงจะบ้าแล้วหรือ เอาหัวลิงมาให้กู) ประยูรยื่นมือส่งถวายถึง 3 ครั้ง ผลที่สุดท่านก็ยอมรับ ท่านพูดว่า (เอาให้ท่านรับ ท่านก็รับ) พอหลวงพ่อพูดเสร็จ ก็รับหัวลิงนั้นจากมือประยูรเรียบร้อยแล้ว ประยูรก็เดินทางไปบวช ณ วัดราชโอรสหรือวัดจอมทอง พอบวชเสร็จ ส่งขึ้นก็มีอันเป็นไป ทำเหมือนสติไม่ดีอยู่วัดได้ 7 วัน เสร็จแล้วก็ออกจากวัดไป โดยไม่หันกลับไปที่วัดอีกเลย พอกลับมาอยู่บ้านแล้ว ท่านก็จุดไฟเอาไม้มาเผา ที่บ้านของแม่ประยูรมีไม้ค้ำส้ม ก็เอาไม้ค้ำส้มมาหักเผาจนหมด สมัยก่อนตามบ้านจะมีไม้ค้ำส้มทุกบ้าน เพราะทำสวนส้ม แม้กระทั่งไม้กระดานไม้ฝาบ้านก็เอามาเผา เหลือแต่หลังคา พอท่านอยู่มาไม่นาน ท่านก็เอาผ้าเหลืองออก เอาชุดสีขาวมาสวมใส่แทน พอผมยาวหน่อยก็เอาเชือกผูกผม ทำเป็นจุกตั้งแต่บัดนั้นมา ต่อมามีผู้คนละแวกนั้นก็กราบไหว้ ขอโชคลาภกัน ก็ได้เลขเด็ดกันไปทั่วหน้า
ต่อมาจากเสื้อผ้าชุดขาวก็มาเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดา อยู่จนผมยาวขึ้น ท่านก็ให้ลูกศิษย์เกล้าผมจนเป็นจุกใหญ่ จึงได้ขนาดนามท่านว่า (หลวงพ่อจุก) ต่อมาไม่ช้าไม่นาน ท่านก็บอกกับลูกศิษย์ที่มาหากราบไหว้ท่าน ให้เรียกท่านว่า (ท่านพ่อจุก) คือว่าท่านไม่ได้เป็นพระ หลังจากนั้นมา ลูกศิษย์จึงได้เรียกว่า ท่านพ่อจุกตลอดมาทุกวันนี้
ตอนนี้ข้าพเจ้า จะกล่าวถึงหลวงพ่อโอภาสีต่อ ให้เรื่องกลมกลืนกันถึงสาเหตุที่เป็นมา ให้ผู้อ่านได้เข้าใจอยู่มาไม่ช้าไม่นาน ก็มีลูกศิษย์ได้นิมนต์หลวงพ่อไปอินเดีย ตัวตั้งตัวตีคือคุณสนิท พอดีตอนนั้นหลวงพ่อก็ไม่ค่อยสบาย หลวงพ่อก็ปฏิเสธว่า อย่าให้ท่านไปเลย ลูกศิษย์ก็ไม่ฟังเสียง อยากจะให้ท่านไป ลูกศิษย์ก็ไม่ฟังเสียงอยากจะให้ท่านไปลูกเดียว บอกกับท่านว่า ได้ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว จะให้ท่านไปให้ได้ ขณะเดียวกันทางด้านท่านพ่อจุกก็ไม่สบายเหมือนกัน ป้าสาครซึ่งเป็นมารดา เฝ้าดูแลอยู่ตลอดเวลา ขณะที่หลวงพ่อป่วยอยู่นั้น ก็มีลูกศิษย์ 2 คน มาเยี่ยมหลวงพ่อ คือคุณเทียน กับ คุณโอภาส 2 คนนี้หลวงพ่อได้บอกกับคน 2 คนนี้ ให้ไปเยี่ยมประยูรบ้าง แต่คน 2 คนนี้ไม่ได้ไป บอกถึง 3 ครั้ง ทั้งสองก็ยังไม่ไป จนครั้งที่ 4 หลวงพ่อจึงเรียกเข้าไปข้างในห้องของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะพูดอะไรกับเขาก็ไม่ทราบครั้งที่ 4 นี้แหละ จึงได้เข้าไปเยี่ยมท่านพ่อจุก อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันนัดที่จะไปอินเดียอยู่แล้ว คุณสนิทก็มาบอกกับหลวงพ่อว่า วันที่ 31 ตุลาคม 2498 เป็นวันขึ้นเครื่องบินแล้ว พอหลวงพ่อได้ยิน คุณสนิท พูดประโยคนี้เท่านััน หลวงพ่อก็รับปากกับคุณสนิทว่า (ให้ท่านไปก็ไป) พอถึงวันที่ 31 ตุลาคม ตอนกลางคืน ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ผมก็เข้าไปดูหลวงพ่อ เห็นท่านนอนหงายเอามือ 2 มือ ทาบกับหน้าอกของท่าน ผมนั่งดูอยู่ประมาณ 20 นาที ผมคิดว่ไม่ค่อยดีเห็นท่านนอนเฉยผิดปรกติ ผมก็ออกมาข้างนอกห้อง เพื่อที่ออกมาเรียกพระอุดรเข้าไปดู ตอนนั้นอุดรยังบวชอยู่ มาช่วยดูแลหลวงพ่อด้วย พอพระอุดรเข้านานสัก 30 นาที พระอุดรออกมา ผมก็ถามท่าน ท่านบอกว่าไปแล้ว นี่แหละสาเหตุที่ต้องทำให้หลวงพ่อ ต้องทิ้งขันไป
ผมจะขอย้อนมาทางท่านพ่อจุกอีกครั้ง ในเวลาคืนเดียวกันนั้น คือคืนวันที่ 31 ตุลาคม นั้น ก็มีป้าสาครซึ่งเป็นมารดาได้เฝ้าดูแลอยู่ พอรุ่งเช้าของวันใหม่ ก็ได้บอกกับลูกหลานกับลูกศิษย์ที่มาเยี่ยมว่า เมื่อคนนี้ ไม่รู้อะไรเหมือนดวงไฟสีแดงมาลงที่ตัวประยูรลูกชายแก
ผมเขียนสั้น ๆ พอเข้าใจไหมครับ ผมจะเขียนให้ทุกท่านเข้าใจมากขึ้นอีก จะย้อนถึงหลวงพ่อที่ว่า ประยูรว่า (อ้ายยูรมึงจะบ้าแล้วหรือเอาหัวลิงมาให้กู) ประโยคนี้จำได้ไหมข้างต้น ที่บอกว่าอยู่วัดได้ 7 วัน แล้วออกจากวัดไปนี่แหละครับสาเหตุ ที่มีอันเป็นไปคือ หัวลิงทำเหตุ ผมจะบอกกับท่านว่า ประยูรเขาได้ถวายร่างกับหลวงพ่อโอภาสีแหละครับ ในเมื่อเขาถวายร่างแล้ว ๆ ท่านก็นำ (เจ้าฟ้าวชิรุณหิต) เข้าไว้ในร่างประยูร ที่เรียกกันว่าท่านพ่อจุก ตอนแรกทำเหมือนเด็ก ๆ จับโน่น จับนี่ ผู้หญิงนั่นแหละ ท่านให้โชคให้ลาภแก่คนผู้นั้น แล้วตอนหลังที่พูดถึงเรื่องทิ้งขันของหลวงพ่อ แล้วดวงไฟไปลงที่ตัวประยูรนั้นก็เหมือนกัน ผมขอพูดสั้น ๆ ตอนแรกหลวงพ่อ ทำเจ้าฟ้าวชิรุณหิตเข้าไว้ พอหลวงพ่อทิ้งขัน หลวงพ่อก็ไปเข้าร่างประยูรในนามของท่านพ่อจุก ทุกท่านสังเกตหรือไม่ ตอนหลังจากหลวงพ่อทิ้งขันแล้ว ร่างประยูรในนามท่านพ่อจุก แต่งตัวใส่เสื้อนอก สวมกางเกงขายาว ใส่หมวก เหมือนใครพูดไม่ได้ หลวงพ่ออุ้มใครไว้ไม่รู้ ขอให้ท่านผู้อ่านได้รู้ได้เห็น ได้พิจารณาดูเองก็แล้วกัน ที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ เขียนเรื่องจริงจากหูจากตา จากสมองของข้าพเจ้า ที่ได้รู้ได้เห็นมาตลอดเวลา ที่เขียนมานี้เป็นเพียงจุดสำคัญ ๆ เท่านั้นเอง พอเป็นสังเขป
แม้แต่จะถึงวาระสุดท้ายของทั้งสองพระองค์แล้วก็ตาม ต่างเวลาต่างวันก็จริง ทั้งสองพระองค์ทิ้งร่างไว้ให้สานุศิษย์ได้เห็นแล้ว จะชื่นชมยินดีสิ่งที่เห็นคือ ร่างขององค์ท่านทั้งสองช่างเหลืองอร่ามเหมือนทอง
ท่านพ่อจุกทิ้งร่างไปเมื่อ 10 ม.ค. 45
ไหนๆ ข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็จะได้ให้เข้าใจเพิ่มอีกสักนิดให้เข้าใจต่อ ที่ท่านสร้างพระยืนแล้วเอามือทั้งสองข้างแบลงทั้งสองข้างนั้น มีความหมายถึงเรื่องที่ว่า ต่อไปภายหน้า จะได้มีสานุศิษย์ที่เลื่อมใส ต่อสถานที่ได้สานต่อให้สถานที่ได้เจริญต่อไป เพื่อที่จะได้สร้างเป็นวัดขึ้นมาอย่างที่ทุกคนได้พบได้เห็น ที่หลวงพ่อได้สร้างของไว้เป็นปริศนา เพื่อที่ให้สานุศิษย์ได้สานต่อ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เสมาและลูกนิมิตนี้แหละที่จะทำให้ทุกคนได้เข้าใจว่า จะต้องได้สร้างเป็นวัดขึ้นมา ทุกท่านจะเข้าใจหรือยังที่ ผมได้เอาของสิ่งนี้มาเอ่ยให้ฟัง นี่แหละครับที่ว่า พระยืนได้แบมือทั้งสองข้างลง หมายความว่า หลวงพ่อได้เปิดทางให้สานุศิษย์ได้ทำประโยชน์ต่อไปให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์
หลวงพ่อได้สร้างเสมาไว้สองชุด เสมาชุดแรกที่หลวงพ่อสร้างไว้คือ อยู่ข้างบาตรน้ำมนต์ด้านทิศเหนือชุดนี้และจะต้องเอาไปติดตั้งในโบสถ์ ส่วนชุดที่สองเป็นชุดของวิหาร
ผมขออธิบายให้ฟังพอเป็นสังเขป ให้เข้าใจถึงความเป็นมา ขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาทุกถ้อยคำประโยคให้ติดต่อเชื่อมโยงถึงกันจะเห็นผล